Text Practice Mode
1
Rating visible after 3 or more votes
00:00
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีอยู่ผู้เขาหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ชอบแต่ที่จะ
เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่
ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา ส่งผลให้เศรษฐีได้
ไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่ เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล สนุกสนานไปวันๆ ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน
ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่งมาจนได้ แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
แล้วเผลอหลับไป บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ ได้กลิ่น
เนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง มาันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับมาบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี มีเพื่อนฝูงล้อมหน้า
ล้อมหลัง แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า
“นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือเจ้า พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วยเจ้าเอง”
ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม แล้วจะปรับปรุงตัว
จะตั้งใจทำมาหากิน ก่อร่างสร้างตัว เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้
พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก เพื่อนที่เคยหนีหายไป ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่ง
พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ แท้ๆ ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง”
บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น บางคนก็ประสมโรงว่า
“เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด”
เพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า ”ใช่ๆ” กันคนละคำสองคำ
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า
“ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ”
เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่
ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา ส่งผลให้เศรษฐีได้
ไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่ เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล สนุกสนานไปวันๆ ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน
ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่งมาจนได้ แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
แล้วเผลอหลับไป บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ ได้กลิ่น
เนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง มาันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับมาบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี มีเพื่อนฝูงล้อมหน้า
ล้อมหลัง แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า
“นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือเจ้า พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วยเจ้าเอง”
ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม แล้วจะปรับปรุงตัว
จะตั้งใจทำมาหากิน ก่อร่างสร้างตัว เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้
พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก เพื่อนที่เคยหนีหายไป ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่ง
พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ แท้ๆ ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง”
บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น บางคนก็ประสมโรงว่า
“เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด”
เพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า ”ใช่ๆ” กันคนละคำสองคำ
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า
“ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ”
saving score / loading statistics ...